1.1 Wavelet – Based Transformation
การแปลงแบบเวฟเล็ต ได้รับอิทธิพลมาจาก วิธีการวิเคราะห์ของฟูเรียร์ ( Fourier analysis ) ซึ่งใช้วิเคราะห์สัญญาณที่ไม่ต่อเนื่องกัน แต่ความสามารถของฟูเรียร์นั้น ทำได้แค่เพียงหาว่ามีความถี่ใดเกิดขึ้นบ้างเท่านั้น จึงได้พัฒนาต่อเป็นฟูเรียร์แบบ Short Time ซึ่งสามารถทราบได้ว่ามีความถี่ใดเกิดขึ้น ณ ช่วงเวลาใดโดยการใช้ฟังก์ชั่น Window เพื่อนำมาใช้เทียบกับสัญญาณ แต่ความสามารถของฟูเรียร์แบบ Short time ก็ยังจำกัดอยู่ คือไม่ทราบได้ว่าความถี่ที่เกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นที่จุดใด จึงทำให้พัฒนากลายเป็นแนวคิดของการแปลงเวฟเล็ตขึ้น ซึ่งเป็นการวิเคราะห์เชิงมาตราส่วน (Scale) และศึกษาส่วนประกอบกับค่าความละเอียด (Resolution)
1.2 ความเป็นมา
Joseph Fourier เป็นผู้คิดค้นทฤษฎีเกี่ยวกับการวิเคราะห์ความถี่ขึ้น ก่อนคริสต์ศักราช 1930 และหลังปีคริสต์ศักราช 1870 นักคณิตศาสตร์ได้เปลี่ยนจากการวิเคราะห์เชิงความถี่มาเป็นการวิเคราะห์เชิงมาตราส่วน (Scale) คือ การวิเคราะห์ฟังก์ชัน f(x) โดยสร้างโครงสร้างที่มีมาตราส่วนที่แตกต่างกัน การประยุกต์โครงสร้างในการประมาณค่าสัญญาณและทดลองซ้ำกันไปเรื่อยๆ โดยการเปลี่ยนค่าต่าง ๆ เพื่อให้ได้การประมาณค่าที่แตกต่างกันออกไป แต่ผลที่ได้รับกลับมานั้น มีการตอบสนองน้อย เนื่องจากสิ่งรบกวนต่างๆ เช่น สัญญาณรบกวน (noise) เพราะมันจะคำนวณค่าเฉลี่ยของสัญญาณที่มีมาตราส่วนต่างกัน
1.3 Wavelet History
ประวัติความเป็นมาของเวฟเล็ต
ในประวัติศาสตร์ทางวิชาคณิตศาสตร์นั้น การวิเคราะห์ด้วยเวฟเล็ตได้แสดงถึงแห่งกำเนิดที่แตกต่างกันมากมาย ซึ่งงานส่วนใหญ่ที่ใช้เวฟเล็ตเพื่อการวิเคราะห์นั้น จะเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1930 และในขณะเดียวกัน ความพยายามในการที่จะวิเคราะห์อกมานั้น ไม่ได้ปรากฏไว้ในส่วนทฤษฎีอย่างต่อเนื่องกัน
ก่อนปีคริสต์ศักราช 1930
ก่อนคริสต์ศักราช 1930 วิชาคณิตศาสตร์ได้นำไปสู่การเริ่มต้นของเวฟเล็ต ซึ่ง Joseph Fourier (ค.ศ.1807) เป็นผู้คิดค้นทฤษฎีเกี่ยวกับการวิเคราะห์ความถี่ขึ้นมา และได้มีการกล่าวถึง Fourier Transform อยู่บ่อยครั้ง หลังปีคริสต์ศักราช 1870 ในความหมายของฟังก์ชันนั้น อนุกรมฟูเรียร์ที่มีลักษณะคล้ายกันและระบบมุมฉาก นักคณิตศาสตร์ค่อยเปลี่ยนจากการวิเคราะห์ความถี่มาเป็นการวิเคราะห์มาตราส่วน (Scale) คือ การวิเคราะห์ฟังก์ชัน f(x) โดยสร้างโครงสร้างที่มีมาตราส่วนที่แตกต่างกัน ซึ่งฟังก์ชันที่สร้างขึ้นมา ซึ่งจะย้ายฟังก์ชัน โดยจำนวนบางจำนวนและเปลี่ยนมาตราส่วนของมัน การประยุกต์โครงสร้างในการประมาณค่าสัญญาณและทดลองซ้ำกันไปเรื่อยๆ โดยการเปลี่ยนค่าต่าง ๆ เพื่อให้ได้การประมาณค่าที่แตกต่างกันออกไป แต่ผลที่ได้รับกลับมานั้น มีการตอบสนองน้อย เนื่องจากสิ่งรบกวนต่างๆ เช่น สัญญาณรบกวน (noise) เพราะมันจะคำนวณค่าเฉลี่ยของสัญญาณที่มีมาตราส่วนต่างกัน
คริสต์ศักราช 1930
ในคริสต์ศักราช 1930 ได้มีกลุ่มผู้ทำงานอิสระหลายกลุ่มวิจัยการแสดงของฟังก์ชัน โดยใช้มาตราส่วนที่แตกต่างกันในฟังก์ชันพื้นฐาน ซึ่งเรียกว่า Haar Basis Function Paul Levy
Pual Levy ได้ค้นพบวิธีการของ Brownian ซึ่งเป็นรูปแบบในการสุ่มสัญญาณ และได้พบว่าฟังก์ชัน Haar นั้น เป็นฟังก์ชันที่ดีกว่าฟังก์ชันฟูเรียร์ เพื่อการศึกษาหารายละเอียดที่ซับซ้อนยุ่งยากในวิธีการของ Brownian
ในการคำนวณนั้นได้เกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างกันมากมาย ถ้าพลังงาน (Energy) มีค่ามากอยู่รอบๆ จุดเล็กๆ หรือกระจายออกไปในพื้นที่ที่กว้างกว่า เนื่องจากผลลัพธ์ที่ได้ออกมาไม่มีแบบแผนที่แน่นอน จึงทำให้นักวิทยาศาสตร์ต้องหาวิธีการคำนวณเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แน่นอน นักวิจัยได้ค้นพบฟังก์ชันซึ่งสามารถผันแปรมาตราส่วน (scale) และสามารถรักษาพลังงานได้ เมื่อมีการคำนวณหาพลังงาน David Marr ได้ค้นพบอัลกอริทึมที่มีประสิทธิภาพสำหรับจัดการกระบวนการของรูปภาพ โดยใช้เวฟเล็ตในการวิเคราะห์ในต้นคริสต์ศักราช 1980
คริสต์ศักราช 1960 – 1980
ในช่วงปีคริสต์ศักราช 1960 – 1980 นักคณิตศาสตร์ 2 คน คือ Guido Weiss และ Ronald R. Coifman ได้ศึกษาเกี่ยวกับส่วนประกอบเบื้องต้นของฟังก์ชันสเปซ เรียกว่า Atoms เป้าหมายของการค้นหา Atoms สำหรับฟังก์ชันธรรมดาและการค้นหา Assembly Rules ซึ่งยินยอมให้มีการสร้างส่วนประกอบทั้งหมดของฟังก์ชันสเปซใหม่อีกครั้ง
ในปีคริสต์ศักราช 1980 Grossman และ Morlet นักฟิสิกส์และวิศวกรได้อธิบายเวฟเล็ต โดยการนำ Atoms เหล่านี้มาใช้ในด้านที่เกี่ยวกับฟิสิกส์ ซึ่งได้จัดเตรียมวิธีการคิดที่เป็นฐานความรู้ทางด้านฟิสิกส์ต่อไป
หลังปีคริสต์ศักราช 1980

อ่านง่ายดีครับ
ตอบลบ