วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

wavelet transform

1.1 Wavelet – Based Transformation

การแปลงแบบเวฟเล็ต ได้รับอิทธิพลมาจาก วิธีการวิเคราะห์ของฟูเรียร์ ( Fourier analysis ) ซึ่งใช้วิเคราะห์สัญญาณที่ไม่ต่อเนื่องกัน แต่ความสามารถของฟูเรียร์นั้น ทำได้แค่เพียงหาว่ามีความถี่ใดเกิดขึ้นบ้างเท่านั้น จึงได้พัฒนาต่อเป็นฟูเรียร์แบบ Short Time ซึ่งสามารถทราบได้ว่ามีความถี่ใดเกิดขึ้น ณ ช่วงเวลาใดโดยการใช้ฟังก์ชั่น Window เพื่อนำมาใช้เทียบกับสัญญาณ แต่ความสามารถของฟูเรียร์แบบ Short time ก็ยังจำกัดอยู่ คือไม่ทราบได้ว่าความถี่ที่เกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นที่จุดใด จึงทำให้พัฒนากลายเป็นแนวคิดของการแปลงเวฟเล็ตขึ้น ซึ่งเป็นการวิเคราะห์เชิงมาตราส่วน (Scale) และศึกษาส่วนประกอบกับค่าความละเอียด (Resolution)

เวฟเล็ตเป็นฟังก์ชันหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เป็นแนวคิดใหม่ แต่ใช้ฟังก์ชั่นที่มีใช้กันมาอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนคริสต์ศักราช 1800 โดย Joseph Fourier ได้ค้นพบฟังก์ชันนี้ขึ้นมา โดยการวางค่า sines และ cosines เพื่อไปแทนที่ฟังก์ชันอื่นๆ อย่างไรก็ตามในการวิเคราะห์เชิงมาตราส่วน (Scale) ใช้อัลกอริทึม เวฟเล็ตในการจัดการข้อมูลที่มาตราส่วน (Scale) หรือความละเอียด (Resolution) ที่มีความแตกต่างกัน ถ้ามองที่สัญญาณหน้าต่างขนาดใหญ่จะสังเกตที่ลักษณะเด่นที่เห็นชัดเจน ในทำนองเดียวกัน ถ้ามองที่สัญญาณหน้าต่างขนาดเล็ก จะสังเกตที่ลักษณะเด่นเล็กๆ เช่นกัน


1.2 ความเป็นมา

Joseph Fourier เป็นผู้คิดค้นทฤษฎีเกี่ยวกับการวิเคราะห์ความถี่ขึ้น ก่อนคริสต์ศักราช 1930 และหลังปีคริสต์ศักราช 1870 นักคณิตศาสตร์ได้เปลี่ยนจากการวิเคราะห์เชิงความถี่มาเป็นการวิเคราะห์เชิงมาตราส่วน (Scale) คือ การวิเคราะห์ฟังก์ชัน f(x) โดยสร้างโครงสร้างที่มีมาตราส่วนที่แตกต่างกัน การประยุกต์โครงสร้างในการประมาณค่าสัญญาณและทดลองซ้ำกันไปเรื่อยๆ โดยการเปลี่ยนค่าต่าง ๆ เพื่อให้ได้การประมาณค่าที่แตกต่างกันออกไป แต่ผลที่ได้รับกลับมานั้น มีการตอบสนองน้อย เนื่องจากสิ่งรบกวนต่างๆ เช่น สัญญาณรบกวน (noise) เพราะมันจะคำนวณค่าเฉลี่ยของสัญญาณที่มีมาตราส่วนต่างกัน

เวฟเล็ตได้มีการกล่าวถึงครั้งแรกในวิทยานิพนธ์ของ Alfred Haar (ปี ค.ศ. 1909) โดยที่เขาสนใจพื้นฐานของฟังก์ชั่นสเปซ (Functional space) ซึ่งคล้ายกับฟังก์ชั่นพื้นฐานของ Fourier ในสเปซของความถี่ (Frequency space) ในเชิงฟิสิกส์ เวฟเล็ตจะถูกใช้ในการหาลักษณะของ Brownian motion คุณสมบัติหนึ่งของเวฟเล็ต Haar คือ จะมีการสนับสนุนที่มีความกระชับ แต่เวฟเล็ต Haar ไม่สามารถหาความแตกต่างที่ต่อเนื่องกันได้ ซึ่งมีอะไรบางอย่างจำกัดวิธีใช้ของพวกมัน

1.3 Wavelet History

ประวัติความเป็นมาของเวฟเล็ต

ในประวัติศาสตร์ทางวิชาคณิตศาสตร์นั้น การวิเคราะห์ด้วยเวฟเล็ตได้แสดงถึงแห่งกำเนิดที่แตกต่างกันมากมาย ซึ่งงานส่วนใหญ่ที่ใช้เวฟเล็ตเพื่อการวิเคราะห์นั้น จะเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1930 และในขณะเดียวกัน ความพยายามในการที่จะวิเคราะห์อกมานั้น ไม่ได้ปรากฏไว้ในส่วนทฤษฎีอย่างต่อเนื่องกัน

ก่อนปีคริสต์ศักราช 1930

ก่อนคริสต์ศักราช 1930 วิชาคณิตศาสตร์ได้นำไปสู่การเริ่มต้นของเวฟเล็ต ซึ่ง Joseph Fourier (ค.ศ.1807) เป็นผู้คิดค้นทฤษฎีเกี่ยวกับการวิเคราะห์ความถี่ขึ้นมา และได้มีการกล่าวถึง Fourier Transform อยู่บ่อยครั้ง หลังปีคริสต์ศักราช 1870 ในความหมายของฟังก์ชันนั้น อนุกรมฟูเรียร์ที่มีลักษณะคล้ายกันและระบบมุมฉาก นักคณิตศาสตร์ค่อยเปลี่ยนจากการวิเคราะห์ความถี่มาเป็นการวิเคราะห์มาตราส่วน (Scale) คือ การวิเคราะห์ฟังก์ชัน f(x) โดยสร้างโครงสร้างที่มีมาตราส่วนที่แตกต่างกัน ซึ่งฟังก์ชันที่สร้างขึ้นมา ซึ่งจะย้ายฟังก์ชัน โดยจำนวนบางจำนวนและเปลี่ยนมาตราส่วนของมัน การประยุกต์โครงสร้างในการประมาณค่าสัญญาณและทดลองซ้ำกันไปเรื่อยๆ โดยการเปลี่ยนค่าต่าง ๆ เพื่อให้ได้การประมาณค่าที่แตกต่างกันออกไป แต่ผลที่ได้รับกลับมานั้น มีการตอบสนองน้อย เนื่องจากสิ่งรบกวนต่างๆ เช่น สัญญาณรบกวน (noise) เพราะมันจะคำนวณค่าเฉลี่ยของสัญญาณที่มีมาตราส่วนต่างกัน

เวฟเล็ตได้มีการกล่าวถึงครั้งแรกในวิทยานิพนธ์ของ Alfred Haar (ปี ค.ศ. 1909) ในส่วนของภาคผนวก คุณสมบัติหนึ่งของเวฟเล็ต Haar คือ จะมีการสนับสนุนที่มีความกระชับ แต่เวฟเล็ต Haar ไม่สามารถหาความแตกต่างที่ต่อเนื่องกันได้ ซึ่งมีอะไรบางอย่างจำกัดวิธีใช้ของพวกมัน

คริสต์ศักราช 1930

ในคริสต์ศักราช 1930 ได้มีกลุ่มผู้ทำงานอิสระหลายกลุ่มวิจัยการแสดงของฟังก์ชัน โดยใช้มาตราส่วนที่แตกต่างกันในฟังก์ชันพื้นฐาน ซึ่งเรียกว่า Haar Basis Function Paul Levy

Pual Levy ได้ค้นพบวิธีการของ Brownian ซึ่งเป็นรูปแบบในการสุ่มสัญญาณ และได้พบว่าฟังก์ชัน Haar นั้น เป็นฟังก์ชันที่ดีกว่าฟังก์ชันฟูเรียร์ เพื่อการศึกษาหารายละเอียดที่ซับซ้อนยุ่งยากในวิธีการของ Brownian

นักวิจัยคนอื่นๆ เช่น Littlewod, Paley, และ Stein ซึ่งพยายามคิดค้นเกี่ยวกับการคำนวณหาค่าพลังงานของฟังก์ชัน f(x) ซึ่งมีอัลกอริทึม ดังนี้

ในการคำนวณนั้นได้เกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างกันมากมาย ถ้าพลังงาน (Energy) มีค่ามากอยู่รอบๆ จุดเล็กๆ หรือกระจายออกไปในพื้นที่ที่กว้างกว่า เนื่องจากผลลัพธ์ที่ได้ออกมาไม่มีแบบแผนที่แน่นอน จึงทำให้นักวิทยาศาสตร์ต้องหาวิธีการคำนวณเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แน่นอน นักวิจัยได้ค้นพบฟังก์ชันซึ่งสามารถผันแปรมาตราส่วน (scale) และสามารถรักษาพลังงานได้ เมื่อมีการคำนวณหาพลังงาน David Marr ได้ค้นพบอัลกอริทึมที่มีประสิทธิภาพสำหรับจัดการกระบวนการของรูปภาพ โดยใช้เวฟเล็ตในการวิเคราะห์ในต้นคริสต์ศักราช 1980

คริสต์ศักราช 1960 – 1980

ในช่วงปีคริสต์ศักราช 1960 – 1980 นักคณิตศาสตร์ 2 คน คือ Guido Weiss และ Ronald R. Coifman ได้ศึกษาเกี่ยวกับส่วนประกอบเบื้องต้นของฟังก์ชันสเปซ เรียกว่า Atoms เป้าหมายของการค้นหา Atoms สำหรับฟังก์ชันธรรมดาและการค้นหา Assembly Rules ซึ่งยินยอมให้มีการสร้างส่วนประกอบทั้งหมดของฟังก์ชันสเปซใหม่อีกครั้ง

ในปีคริสต์ศักราช 1980 Grossman และ Morlet นักฟิสิกส์และวิศวกรได้อธิบายเวฟเล็ต โดยการนำ Atoms เหล่านี้มาใช้ในด้านที่เกี่ยวกับฟิสิกส์ ซึ่งได้จัดเตรียมวิธีการคิดที่เป็นฐานความรู้ทางด้านฟิสิกส์ต่อไป

หลังปีคริสต์ศักราช 1980

ในปีคริสต์ศักราช 1985 Stephane Mallat ได้นำเวฟเล็ตมาใช้ในงานของเขาเกี่ยวกับการดำเนินการสัญญาณดิจิตอล เขาได้ค้นหาความสัมพันธ์บางอย่างระหว่าง quadrature mirror filters อัลกอริทึมปิรามิดและคุณลักษณะของเวฟเล็ต Y. Meyer ได้สร้างเวฟเล็ตตัวแรก ซึ่งมีลักษณะราบเรียบขึ้น ไม่เหมือนกับเวฟเล็ต Haar เวฟเล็ต Meyer เป็นเวฟเล็ตที่มีความแตกต่างกันอย่างต่อเนื่อง

1 ความคิดเห็น: